พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย พระมหากษัตราธิราชเจ้ารัชกาลที่ ๒ แห่งพระราชวงศ์จักรี ทรงพระปรีชาสามารถเชี่ยวชาญในศาสตร์และศิลป์หลากหลาย ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณแก่พสกนิกรชาวไทยอย่างใหญ่หลวง ทรงปกป้องผืนแผ่นดินไทยให้พ้นจากอริราชศัตรู ทรงบำเพ็ญพระราชกรณียกิจทั้งปวงล้วนมุ่งขจัดทุกข์ผดุงสุขแก่อาณาประชาราษฎร์ ทรงสร้างความเจริญรุ่งเรืองและความร่มเย็นเป็นสุขแก่ชาติบ้านเมืองเป็นอเนกประการ ทรงสร้างสรรค์ศิลปวัฒนธรรมอันเป็นเอกลักษณ์สำคัญของชาติ โดยทรงส่งเสริมทำนุบำรุงวรรณคดี กวีนิพนธ์ นาฏศิลป์ ดนตรี งานช่างทั้งประติมากรรม จิตรกรรม และสถาปัตยกรรม พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ทรงพระปรีชาญาณ ทรงเป็นกวีและช่างเอกด้วยพระองค์เอง ทรงได้รับถวายราชสดุดีว่า ทรงเป็นองค์เอกอัครศิลปินยอดเยี่ยม เนื่องจากทรงเห็นว่างานศิลปะเป็นการแสดงถึงความเจริญรุ่งเรืองของประเทศ ในรัชสมัยของพระองค์เป็นระยะเวลาของการฟื้นฟูบ้านเมือง ทรงพระราชดำริว่า หากมิได้รวบรวมฟื้นฟูศิลปะแขนงต่างๆ ที่กระจัดกระจายไปในช่วงที่บ้านเมืองระส่ำระสายแล้ว ภายภาคหน้างานศิลปะอันทรงคุณค่าที่มีมาคู่กับประเทศไทยจะสูญหาย และด้วยพระปรีชาสามารถอันล้ำเลิศของพระองค์ จึงได้ทรงสร้างสรรค์ผลงานอันงดงาม เป็นศรีสง่าไว้ให้อนุชนชาวไทยได้ภาคภูมิใจ ถือได้ว่า รัชกาลแห่งพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย เป็นยุคทองของวรรณคดีและศิลปกรรมขั้นสูงสุดในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ และเป็นพระราชมรดกอันยิ่งใหญ่ที่พระราชทานแก่ประชาชนชาวไทยและตกทอดสืบมาจนถึงปัจจุบัน พระราชจริยาวัตรอันงดงามสมบูรณ์พร้อมทุกประการ เป็นที่ประจักษ์และได้รับการยกย่องทั้งในหมู่ประชาชนชาวไทยและนานาประเทศ องค์การศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (ยูเนสโก) ได้ประกาศถวายพระเกียรติยกย่องให้ทรงเป็น บุคคลสำคัญของโลก
เมื่อพ.ศ. ๒๕๑๑ ในวาระครบรอบ ๒๐๐ ปี แห่งพระบรมราชสมภพของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัฐบาลและประชาชนได้ร่วมกันจัดงานฉลองเฉลิมพระเกียรติ สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ หลังจากงานฉลองพระบรมราชสมภพ หม่อมหลวงปิ่น มาลากุล ซึ่งเป็นผู้สืบสายราชสกุลในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ได้จดทะเบียนจัดตั้งมูลนิธิพระบรมราชานุสรณ์ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ขึ้น เมื่อวันที่ ๑๖ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๑๑ เลขทะเบียนลำดับที่ ๕๒๒ (ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๘๕ ตอนที่ ๑๑๕ ๓ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๑๑) เพื่อเฉลิมพระเกียรติและสนองพระมหากรุณาธิคุณในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย และพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร (รัชกาลที่ ๙) ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ รับมูลนิธิฯ ไว้ในพระบรมราชูปถัมภ์ ตั้งแต่แรกจัดตั้ง
การจัดตั้งมูลนิธิฯ ในวาระเริ่มแรก
การจัดตั้งมูลนิธิฯ ในวาระเริ่มแรก มีคณะกรรมการดำเนินงานประกอบด้วย
๑. หม่อมหลวงปิ่น มาลากุล ประธานกรรมการ
๒. นายธนิต อยู่โพธิ์ (อธิบดีกรมศิลปากรในขณะนั้น) รองประธานกรรมการ
๓. หม่อมหลวงชูชาติ กำภู กรรมการ
๔. นายพล วงศาโรจน์ กรรมการ
๕. นายสุพัฒน์ อนันตวงศ์ เหรัญญิกและเลขานุการ
เริ่มแรกจัดตั้งตามตราสาร (ข้อบังคับ) มูลนิธิฯ มีวัตถุประสงค์ ดังนี้
๑. เผยแพร่งานศิลปและวรรณคดีของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย โดยทั่วไป
๒. จัดให้มีสถานที่แสดงดนตรี และโขนละครบทพระราชนิพนธ์ เป็นพระบรมราชานุสรณ์ที่อำเภอ อัมพวา จังหวัดสมุทรสงคราม ซึ่งเป็นที่พระบรมราชสมภพ
๓. ส่งเสริมการศึกษาศิลปและวรรณคดีไทย
๔. สนับสนุนงานศิลปและวรรณคดีไทย
องค์ประธานมูลนิธิพระบรมราชานุสรณ์ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ในพระบรมราชูปถัมภ์
ครั้นถึง พ.ศ. ๒๕๒๐ เมื่อสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงสำเร็จการศึกษาปริญญาตรีอักษรศาสตร์จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พระบาทสมเด็จ พระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ให้ดำรงตำแหน่งกรรมการที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง และในการประชุมสามัญของมูลนิธิฯ เมื่อวันศุกร์ที่ ๙ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๒๐ ณ ห้องประชุมหอสมุดแห่งชาติ ที่ประชุมได้มีมติเป็นเอกฉันท์เลือกตั้งอัญเชิญ สมเด็จ พระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เป็นองค์ประธานคณะกรรมการของมูลนิธิฯ และทรงพระกรุณารับเป็นองค์ประธานนับตั้งแต่นั้นจนถึงปัจจุบัน ได้พระราชทานพระราชดำรัสในการประชุมนั้น ความว่า
“ขอขอบคุณกรรมการทุกท่านที่ได้รับข้าพเจ้ามาเป็นกรรมการด้วยอีกผู้หนึ่งอย่างเต็มใจ ซึ่งการที่จะได้รับพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ ให้มาเป็นกรรมการครั้งนี้ ตั้งใจอยู่ว่าจะใช้ความรู้ที่เคยได้ศึกษามาในการส่งเสริมพระราชกรณียกิจในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย โดยที่มีความคิดอยู่ว่า พระองค์ท่านเป็นผู้มีความรู้และความสามารถในวิทยาการหลายแขนง ตั้งแต่การที่ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ก็ย่อมทรงทราบวิชาวิทยาการต่างๆ ซึ่งเป็นของพระมหากษัตริย์ มีการปกครอง และการทหาร เป็นต้น และยังได้ทรงมีความรู้ทั้งในด้านศิลปะ ทั้งในด้านการประพันธ์ การดนตรี และในด้านประติมากรรม ทุกอย่างที่กล่าวมาก็ทำได้ถึงขั้นเป็นที่ยกย่องทั้งภายในและภายนอกประเทศ จึงเป็นบุคคลที่เราจะเรียกได้ว่าเป็นบุคคลที่หาได้ยากผู้หนึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สำหรับพระมหากษัตริย์พระองค์นี้ความสำคัญอยู่ที่ความสามารถในด้านศิลปะนานาประการ เพราะฉะนั้น นอกจากจะถือว่าทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่ปกครองบ้านเมืองมา นำบ้านเมืองมาอย่างสงบสุขแล้ว อย่างในด้านวิทยาการนี้ ยังถือว่าเป็นบรมครูอีกด้วย คือ ท่านผู้มีความรู้ในด้านศิลปะ ผู้ค้นคิดวิทยาการเก่าๆ ของไทยเรา และรู้สึกสำนึกในบุญคุณของท่านที่สร้างศิลปะมาให้เรารุ่นหลังได้ใช้ นอกจากเป็นการใช้ประกอบอาชีพแล้ว ยังใช้เป็นเครื่องเตือนใจอยู่เสมอว่า บ้านเมืองเรานี้ คนรุ่นเก่ามีความสามารถรักษาบ้านเมืองไว้ให้อยู่อย่างสงบสุขพอที่จะมีศิลปกรรมต่างๆ อันเป็นที่เชิดหน้าชูตามาได้เป็นระยะเวลาอันยาวนานไม่ขาดสาย ดังนั้นจึงเป็นข้อเตือนใจให้เราคนรุ่นหลังได้นึกอยู่ตลอดเวลาที่เราจะรักษาบ้านเมืองของเราไว้โดยที่ไม่ต้องคิดเรื่องรักชาติอย่างอื่น นอกจากมองจากที่ท่านได้ทำไว้แล้ว แล้วเราก็หวงแหนและรักษาไว้ ฉะนั้น จึงเห็นว่าพระราชกรณียกิจของท่านสำคัญ พอดีได้เรียนมาทางด้านเกี่ยวกับวรรณคดี ก็เคยเรียนบทพระราช-นิพนธ์มาบ้าง จึงคิดว่าคงจะร่วมทำอะไรได้ แม้แต่อาจจะไม่ได้เต็มที่นัก ก็จึงขอให้ท่านกรรมการทั้งหลายได้ร่วมกันในการปฏิบัติงานต่างๆ ให้สำเร็จตามเป้าหมายเดียวกันนี้ และถ้ามีอะไรก็ขอให้เล่าให้ฟัง สิ่งที่ทำไปแล้วหรือสิ่งที่จะเล่าให้ฟัง ตอนไหนก็ได้ เพื่อที่จะได้ข้อปลีกย่อย หรือมีข้อขัดข้องอะไรก็จะได้ช่วยกันคิดช่วยกันทำ หรือว่าจะมีงานอะไรใหม่ๆ ที่จะส่งเสริมพระราชกรณียกิจ เราก็จะได้ช่วยกันแก้ปัญหาได้ และขอขอบคุณ ทุกท่านด้วย”