พระราชพิธีอุปราชาภิเษก
เมื่อเสร็จงานพระราชพิธีบรมราชาภิเษกแล้ว จึงทรงพระกรุณาโปรดให้ตั้งพระราชพิธีอุปราชาภิเษก สถาปนาพระเกียรติยศสมเด็จพระอนุชาธิราช เจ้าฟ้ากรมหลวงเสนานุรักษ์พระบัณฑูรน้อยขึ้นเป็นกรมพระราชวังบวรสถานมงคล ตำแหน่งที่พระมหาอุปราช
ลักษณะการพระราชพิธีอุปราชาภิเษก แลเฉลิมพระราชมนเทียรในพระราชวังบวรฯ ครั้งรัชกาลที่ ๒ มีร่างหมายรับสั่งเจ้าพระยาศรีธรรมาธิราชแต่งไว้ ว่าทำพิธีตามแบบอย่างครั้งอุปราชาภิเษกเจ้าฟ้ากรมขุนพรพินิตเป็นพระมหาอุปราช เมื่อแผ่นดินสมเด็จพระเจ้าบรมโกศครั้งกรุงเก่า พรรณนาไว้ในหมายรับสั่งเป็นเนื้อความดังนี้
ณ วันศุกร เดือน ๑๐ ขึ้น ๑๔ ค่ำ ปีมเสงเอกศก ฤกษ์เวลาเช้าโมง ๑ กับ ๓ บาท จาฤกพระสุพรรณบัฏที่ในพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ทำนองการพิธีเหมือนจาฤกพระสุพรรณบัตรพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในพระสุพรรณบัฏจาฤกว่า :-
สมเด็จบรมนารบรมบพิตร พระพุทธเจ้าอยู่หัว มีพระราชโองการมารพระบัณฑูรสุรสิงหนาท โปรดเกล้าโปรดกระหม่อมดำรัสให้สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงเสนานุรักษ์ เปนกรมพระราชวังบวรสถานมงคล ทีฆายุศมศิริสวัสดิ์
เมื่อจาฤกแลเวียนเทียนสมโภชพระสุพรรณบัฏแล้ว ตั้งพระสุพรรณบัฏไว้ในพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม จนถึงวันเริ่มงาน จึงเชิญขึ้นพระเสลี่ยงแห่ไปตั้งในพระแท่นมณฑลที่พระราชวังบวรฯ
ที่พระราชวังบวรฯ นั้น จัดที่ทำพระราชพิธี ๒ แห่ง คือ ที่พระที่นั่งพรหมภักตรจะเปนพระวิมานหลังใต้หรือหลังเหนือ เวลานั้นยังเรียกรวมกันหมดทั้งหมู่ว่าพระที่นั่งพรหมภักตร ในห้องที่พระบรรธมจัดตั้งเตียงสำหรับพระสงฆ์ คือ สมเด็จพระพนรัตนนั่งปรกรูป ๑ พระวัดพลับ ๔ รูป สวดมหาไชย
ที่พระที่นั่งสุทธาสวรรย์ จัดเปนที่ตั้งพระแท่นมณฑลตั้งเทียนไชย แลเปนที่พระสงฆ์ ๔๕ รูป มีสมเด็จพระสังฆราชเปนประธานเจริญพระพุทธมนต์ พระแท่นมณฑลนั้น ในหมายรับสั่งกล่าวว่าจัดเหมือนพระราชพิธีสัมพัจฉรฉินท์ สิ่งของตั้งพระแท่นมณฑลตามที่กล่าวไว้ในหมายรับสั่ง มีดังนี้ คือ :-
พระบรมธาตุ พระไชย พระห้ามสมุท พระอุณาโลมทำแท่ง พระสุพรรณบัฏดวงพระชันษา พระมหามงกุฎ พระภูษารัตกัมพล พระมาลาเบี่ยง พระชฎา พระนพพระมหาสังวาลสร้อยอ่อน พระมหาสังวาลพรามหมณ์ พระธำรงค์ ฉลองพระองค์เกราะฉลองพระองค์นวม พระมหามงคลย่น เครื่องพระพิไชยสงคราม เครื่องพระมุรธาภิเศก พระมหาสังข์ทักษิณาวรรต พระมหาสังข์ทอง พระมหาสังข์เงิน พระเต้าเบญจครรภ พระเต้าปทุมนิมิตทอง พระเต้าปทุมนิมิตนาก พระเต้าปทุมนิมิตเงิน พระเต้าปทุมนิมิตสำริด (ใส่น้ำปัญจมหานที ทั้ง ๔ พระเต้า)
พระแสงที่เข้าพระแท่นมณฑลนั้นคือ พระแสงขรรค์ไชยศรี ๑ พระแสงดาบยี่ปุ่น ๑ พระแสงจักร ๑ พระแสงหอกไชย ๑ พระแสงตรีศูล ๑ พระแสงธนู ๑ พระแสงเชน ๔ พระแสงง้าว ๒ พระแสงทวน ๒ พระแสงหอกคู่ ๑ พระแสงของ้าวเจ้าพระยาแสนพลพ่าย ๑ พระแสงขอตีช้างล้ม ๑ พระแสงชนักต้น ๑ พระกลด ๑ พระเสมาธิปัต ๑ พระฉัตรไชย ๑ พระเกาวพ่าย ๑ ธงไชยกระบี่ธุช ๑ ธงไชยพระครุฑพ่าห์ ๑ ตรงมุขท้ายพระที่นั่งสุทธาสวรรย์ ปลูกพลับพลาเปลื้องเครื่องหลัง ๑ ข้างพระที่นั่งตั้งพระแท่นที่สรงมีเสาดาดเพดาน บนพระแท่นตั้งถาดทองแดง ในนั้นตั้งตั่งไม้มะเดื่อที่ประทับสรงมุรษาภิเษก ตั้งราชวัตรฉัตรทอง, ฉัตรนาก, ฉัตรเงิน ๗ ชั้น รายรอบที่สรง
น่าพระที่นั่งสุทธาสวรรย์ ปลูกโรงพิธีพราหมณ์ แลตั้งพนมบัดพลีสำหรับโหรบูชาเทวดา ในโรงพิธีพราหมณ์ตั้งเทวรูปพระอิศวร พระนารายณ์ เป็นต้น เหมือนพิธีบรมราชาภิเษก แลเครื่องพลีกรรมทำพิธีตามไสยศาสตร ทั่วทุกสถาน การพระราชพิธีวงสายสิญจน์ล่ามตลอดถึงกัน แลตั้งราชวัตรปักฉัตรเบญจรงค์ ๕ ชั้น รายรอบพระราชมณเฑียรแลราย ๒ ข้างถนนแต่พระราชวังบวรฯ ลงมาจนพระบรมมหาราชวัง
ในเวลาทำการพระราชพิธีนั้น เชิญเสด็จสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอเจ้าฟ้ากรมหลวงเสนานุรักษ์ เข้ามาประทับแรมอยู่ที่โรงละครริมพระระเบียงวัดพระศรีรัตนศาสดารามด้านตะวันตก
ถึง ณ วันอังคาร เดือน ๑๐ แรม ๓ ค่ำ เวลาบ่าย สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอเจ้าฟ้ากรมหลวงเสนานุรักษ์ เสด็จไปทรงเครื่องที่พระนั่งดุสิดาภิรมย์ แต่งพระองค์ทรงสนับเพลาเชิงงอน ทรงพระภูษาจีบโจงหางหงส์ รัดพระองค์หนามขนุน ทรงฉลองพระองค์กรองทอง ทรงพระมาลาเส้าสูงสีกุหร่า เสด็จขึ้นพระราชยานที่เกยพระที่นั่งดุสิดาภิรมย์ มีกระบวนแห่เสด็จคือ :-
ตำรวจเลวหรือหวายนำริ้ว ๑๐ คู่ ตำรวจเดินสายนอก ๒ สาย ๘๔ คน มหาดเล็กวังหลวงเดินสายใน ๒ สาย ๘๔ คน กลองชนะ ๒๐ คู่ แตรฝรั่ง ๖ คู่ แตรงอน ๖ คู่ สังข์ ๒ คู่ จ่าปี่ ๑ จ่ากลอง ๑ สารวัต ๑ เครื่องสูงน่า สามชั้น ๕ คู่ ห้าชั้นคู่ ๑ บังแทรก ๔ มหาดเล็กเชิญพระแสงหว่างเครื่องน่า พระแสงดาบใจเพ็ชร ๑ พระแสงดาบคาบค่าย ๑ พระแสงเขน ๒ พระแสงหอก ๒ พระแสงหอกคู่ ๒ พระราชยานมีพนักงานถวายอยู่พระผลด ๑ บังสูรย์ ๑ พัดโบก ๑ พระทวย ๑
คู่เคียง ๔ คู่ คือ ;- คู่ที่ ๑ พระยากำแพงเพ็ชร พระยาโชฎีก คู่ที่ ๒ พระยาพิศณุโลก พระยาพิพิธโภไคย คู่ที่ ๓ พระยานรินทร จมื่นเสอใจราช คู่ที่ ๔ พระยานครสวรรค์ พระยาเทพมณเฑียร
กระบวนหลังมหาดเล็กเชิญเครื่องธารพระกร ๑ พัชนีท้ายพระที่นั่ง ๑ ฉลองพระบาท ๑ เชิญตามเสด็จ พานพระขันหมาก ๑ พระสุพรรณศรี ๑ พระเต้าพระสุธารศ ๑ เครื่องสูง ห้าชั้นคู่ ๑ สามชั้น ๕ คู่ บังแทรก ๔ มหาดเล็กเชิญพระแสงหว่างเครื่อง พระแสงง้าว ๑ พระแสงตรี ๑ พระแสงหอกง่าม ๑ มหาดเล็กวังน่าเดินสายใน ๖๐ คน ตำรวจเดินสายนอก ๔๐ คน ม้าจูง ๔ (หัวพัน) มหาดไทย กลาโหม เป็นผู้ตรวจ รวมกระบวนแห่ ๒๖๘ คน
แห่เสด็จไปจากพระบรมมหาราชวัง จนถึงพระราชวังบวรฯ ประทับเกยพลับพลาเปลื่องเครื่องที่มุขท้ายพระที่นั่งสุทธาสวรรย์ เปลื้องเครื่องผลัดทรงพระภูษาลายพื้นทองทรงสพัก ฉลองพระองค์ครุยกรองทอง เสด็จเข้าในพระที่นั่งสุทธาสวรรย์ ทรงนมัสการพระศรีรัตนไตรย สมเด็จพระสังฆราชจุดเทียนชัย แลถวายศีลแล้วทรงพระมหามงคลประทับสดับพระปริตจนจบแล้ว จึงแห่เสด็จกลับคืนมายังพระบรมมหาราชวัง
รุ่งขึ้น ณ วันพุฒ เดือน ๑๐ แรม ๔ ค่ำ เวลาเช้า สมเด็จพระอนุชาธิราช เจ้าฟ้ากรมหลวงเสนานุรักษ์ เสด็จทรงพระเสลี่ยง มีแต่ตำรวจนำไม่มีกระบวนแห่ เสด็จขึ้นไปทรงประเคนเลี้ยงพระสงฆ์ ที่พระที่นั่งสุทธาสวรรย์ เวลาบ่ายวันนั้น แลวันรุ่งขึ้น แห่เสด็จขึ้นไปทรงสดับพระปริตรเหมือนวันแรก เวลาเช้า ในวันคำรบ ๒ ก็เสด็จขึ้นไปทรงประเคนเลี้ยงพระเหมือนวันแรก
ครั้น ณ วันศุกร เดือน ๑๐ แรม ๖ ค่ำ เวลาเช้า เสด็จโดยกระบวนแห่ขึ้นไปยังพระราชวังบวรฯ เสด็จเที่ยวสรงสนานเวลาเขาโมงกับบาทหนึ่ง สมเด็จพระสังฆราช สมเด็จพระพนรัตน พระธรรมราชา พระญาณสังวร ถวายน้ำพระพุทธมนต์ด้วยพระเต้าปทุมนิมิต พราหมณ์ถวายน้ำกรดน้ำสังข์แลใบมะตูม แล้วทรงเครื่องเสด็จมาทรงประเคนเลี้ยงพระสงฆ์ ครั้นเลี้ยงพระแล้ว เสด็จยังพลับพลา ทรงเครื่องพระภูษาลาเขียนลายจีบใจทางหางหงส์ ทรงฉลองพระองค์กรองทอง ทรงพระมาลาส้าสูงสีแสด ขึ้นทรงพระราชยานแห่ลงมาพระบรมมหาราชวัง เข้าเฝ้าสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ณ พระที่นั่งจักรพรรดิพิมาน รับพระราชทานพระสุพรรณบัฏ และทูลเกล้าฯ ถวายเทียนทองธูปเงินเข้าคอกดอกไม้ (แล้วแห่เสด็จกลับขึ้นไปยังพระราชวังบวรฯ) ครั้นเวลาบ่าย เจ้าพนักงานตั้งบายศรีเวียนเทียนสมโภชพระราชมณเฑียรในพระราชวังบวรฯ เป็นเสร็จการพระราชพิธีอุปราชาภิเศกตามโบราณประเพณี
กรมพระราชวังบวรสถานมงคลในรัชกาลที่ ๒ ซึ่งปรากฏพระรามในภายหลังว่ากรมพระราชวังบวรมหาเสนานุกรักษ์นี้ ประสูติ ณ กรุงธนบุรี เมื่อ ณ วันจันทร์ เดือน ๕ ขึ้น ๗ ค่ำ ปีมะเส็งเบศจศก จุลศักราช ๑๑๓๕ พ.ศ.๒๓๑๖ เป็นพระราชโอรสพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก สมเด็จพระอมรินทราบรมราชินี เป็นสมเด็จพระชนนีเมื่อในรัชกาลที่ ๑ เป็น สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้ากรมขุนเสนานุรักษ์ แล้วได้เลื่อนพระเกียรติยศขึ้นเป็นกรมหลวง แลเป็นพระบัณฑูรน้อย เมื่อปีเถาะนพศก พ.ศ.๒๓๕๐ ก่อนพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกสวรรคต ๒ ปี เมื่อกรมพระราชวังบวรมหาเสนานุรักษ์ได้อุปราชาภิเษกนั้น พระชันษาได้ ๓๖ พรรษาเมื่อเสร็จงานพระราชพิธีบรมราชาภิเษกแล้ว จึงทรงพระกรุณาโปรดให้ตั้งพระราชพิธีอุปราชาภิเษก สถาปนาพระเกียรติยศสมเด็จพระอนุชาธิราช เจ้าฟ้ากรมหลวงเสนานุรักษ์พระบัณฑูรน้อยขึ้นเป็นกรมพระราชวังบวรสถานมงคล ตำแหน่งที่พระมหาอุปราช
ลักษณะการพระราชพิธีอุปราชาภิเษก แลเฉลิมพระราชมนเทียรในพระราชวังบวรฯ ครั้งรัชกาลที่ ๒ มีร่างหมายรับสั่งเจ้าพระยาศรีธรรมาธิราชแต่งไว้ ว่าทำพิธีตามแบบอย่างครั้งอุปราชาภิเษกเจ้าฟ้ากรมขุนพรพินิตเป็นพระมหาอุปราช เมื่อแผ่นดินสมเด็จพระเจ้าบรมโกศครั้งกรุงเก่า พรรณนาไว้ในหมายรับสั่งเป็นเนื้อความดังนี้
ณ วันศุกร เดือน ๑๐ ขึ้น ๑๔ ค่ำ ปีมเสงเอกศก ฤกษ์เวลาเช้าโมง ๑ กับ ๓ บาท จาฤกพระสุพรรณบัฏที่ในพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ทำนองการพิธีเหมือนจาฤกพระสุพรรณบัตรพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในพระสุพรรณบัฏจาฤกว่า :-
สมเด็จบรมนารบรมบพิตร พระพุทธเจ้าอยู่หัว มีพระราชโองการมารพระบัณฑูรสุรสิงหนาท โปรดเกล้าโปรดกระหม่อมดำรัสให้สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงเสนานุรักษ์ เปนกรมพระราชวังบวรสถานมงคล ทีฆายุศมศิริสวัสดิ์
เมื่อจาฤกแลเวียนเทียนสมโภชพระสุพรรณบัฏแล้ว ตั้งพระสุพรรณบัฏไว้ในพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม จนถึงวันเริ่มงาน จึงเชิญขึ้นพระเสลี่ยงแห่ไปตั้งในพระแท่นมณฑลที่พระราชวังบวรฯ
ที่พระราชวังบวรฯ นั้น จัดที่ทำพระราชพิธี ๒ แห่ง คือ ที่พระที่นั่งพรหมภักตรจะเปนพระวิมานหลังใต้หรือหลังเหนือ เวลานั้นยังเรียกรวมกันหมดทั้งหมู่ว่าพระที่นั่งพรหมภักตร ในห้องที่พระบรรธมจัดตั้งเตียงสำหรับพระสงฆ์ คือ สมเด็จพระพนรัตนนั่งปรกรูป ๑ พระวัดพลับ ๔ รูป สวดมหาไชย
ที่พระที่นั่งสุทธาสวรรย์ จัดเปนที่ตั้งพระแท่นมณฑลตั้งเทียนไชย แลเปนที่พระสงฆ์ ๔๕ รูป มีสมเด็จพระสังฆราชเปนประธานเจริญพระพุทธมนต์ พระแท่นมณฑลนั้น ในหมายรับสั่งกล่าวว่าจัดเหมือนพระราชพิธีสัมพัจฉรฉินท์ สิ่งของตั้งพระแท่นมณฑลตามที่กล่าวไว้ในหมายรับสั่ง มีดังนี้ คือ :-
พระบรมธาตุ พระไชย พระห้ามสมุท พระอุณาโลมทำแท่ง พระสุพรรณบัฏดวงพระชันษา พระมหามงกุฎ พระภูษารัตกัมพล พระมาลาเบี่ยง พระชฎา พระนพพระมหาสังวาลสร้อยอ่อน พระมหาสังวาลพรามหมณ์ พระธำรงค์ ฉลองพระองค์เกราะฉลองพระองค์นวม พระมหามงคลย่น เครื่องพระพิไชยสงคราม เครื่องพระมุรธาภิเศก พระมหาสังข์ทักษิณาวรรต พระมหาสังข์ทอง พระมหาสังข์เงิน พระเต้าเบญจครรภ พระเต้าปทุมนิมิตทอง พระเต้าปทุมนิมิตนาก พระเต้าปทุมนิมิตเงิน พระเต้าปทุมนิมิตสำริด (ใส่น้ำปัญจมหานที ทั้ง ๔ พระเต้า)
พระแสงที่เข้าพระแท่นมณฑลนั้นคือ พระแสงขรรค์ไชยศรี ๑ พระแสงดาบยี่ปุ่น ๑ พระแสงจักร ๑ พระแสงหอกไชย ๑ พระแสงตรีศูล ๑ พระแสงธนู ๑ พระแสงเชน ๔ พระแสงง้าว ๒ พระแสงทวน ๒ พระแสงหอกคู่ ๑ พระแสงของ้าวเจ้าพระยาแสนพลพ่าย ๑ พระแสงขอตีช้างล้ม ๑ พระแสงชนักต้น ๑ พระกลด ๑ พระเสมาธิปัต ๑ พระฉัตรไชย ๑ พระเกาวพ่าย ๑ ธงไชยกระบี่ธุช ๑ ธงไชยพระครุฑพ่าห์ ๑ ตรงมุขท้ายพระที่นั่งสุทธาสวรรย์ ปลูกพลับพลาเปลื้องเครื่องหลัง ๑ ข้างพระที่นั่งตั้งพระแท่นที่สรงมีเสาดาดเพดาน บนพระแท่นตั้งถาดทองแดง ในนั้นตั้งตั่งไม้มะเดื่อที่ประทับสรงมุรษาภิเษก ตั้งราชวัตรฉัตรทอง, ฉัตรนาก, ฉัตรเงิน ๗ ชั้น รายรอบที่สรง
น่าพระที่นั่งสุทธาสวรรย์ ปลูกโรงพิธีพราหมณ์ แลตั้งพนมบัดพลีสำหรับโหรบูชาเทวดา ในโรงพิธีพราหมณ์ตั้งเทวรูปพระอิศวร พระนารายณ์ เป็นต้น เหมือนพิธีบรมราชาภิเษก แลเครื่องพลีกรรมทำพิธีตามไสยศาสตร ทั่วทุกสถาน การพระราชพิธีวงสายสิญจน์ล่ามตลอดถึงกัน แลตั้งราชวัตรปักฉัตรเบญจรงค์ ๕ ชั้น รายรอบพระราชมณเฑียรแลราย ๒ ข้างถนนแต่พระราชวังบวรฯ ลงมาจนพระบรมมหาราชวัง
ในเวลาทำการพระราชพิธีนั้น เชิญเสด็จสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอเจ้าฟ้ากรมหลวงเสนานุรักษ์ เข้ามาประทับแรมอยู่ที่โรงละครริมพระระเบียงวัดพระศรีรัตนศาสดารามด้านตะวันตก
ถึง ณ วันอังคาร เดือน ๑๐ แรม ๓ ค่ำ เวลาบ่าย สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอเจ้าฟ้ากรมหลวงเสนานุรักษ์ เสด็จไปทรงเครื่องที่พระนั่งดุสิดาภิรมย์ แต่งพระองค์ทรงสนับเพลาเชิงงอน ทรงพระภูษาจีบโจงหางหงส์ รัดพระองค์หนามขนุน ทรงฉลองพระองค์กรองทอง ทรงพระมาลาเส้าสูงสีกุหร่า เสด็จขึ้นพระราชยานที่เกยพระที่นั่งดุสิดาภิรมย์ มีกระบวนแห่เสด็จคือ :-
ตำรวจเลวหรือหวายนำริ้ว ๑๐ คู่ ตำรวจเดินสายนอก ๒ สาย ๘๔ คน มหาดเล็กวังหลวงเดินสายใน ๒ สาย ๘๔ คน กลองชนะ ๒๐ คู่ แตรฝรั่ง ๖ คู่ แตรงอน ๖ คู่ สังข์ ๒ คู่ จ่าปี่ ๑ จ่ากลอง ๑ สารวัต ๑ เครื่องสูงน่า สามชั้น ๕ คู่ ห้าชั้นคู่ ๑ บังแทรก ๔ มหาดเล็กเชิญพระแสงหว่างเครื่องน่า พระแสงดาบใจเพ็ชร ๑ พระแสงดาบคาบค่าย ๑ พระแสงเขน ๒ พระแสงหอก ๒ พระแสงหอกคู่ ๒ พระราชยานมีพนักงานถวายอยู่พระผลด ๑ บังสูรย์ ๑ พัดโบก ๑ พระทวย ๑
คู่เคียง ๔ คู่ คือ ;- คู่ที่ ๑ พระยากำแพงเพ็ชร พระยาโชฎีก คู่ที่ ๒ พระยาพิศณุโลก พระยาพิพิธโภไคย คู่ที่ ๓ พระยานรินทร จมื่นเสอใจราช คู่ที่ ๔ พระยานครสวรรค์ พระยาเทพมณเฑียร
กระบวนหลังมหาดเล็กเชิญเครื่องธารพระกร ๑ พัชนีท้ายพระที่นั่ง ๑ ฉลองพระบาท ๑ เชิญตามเสด็จ พานพระขันหมาก ๑ พระสุพรรณศรี ๑ พระเต้าพระสุธารศ ๑ เครื่องสูง ห้าชั้นคู่ ๑ สามชั้น ๕ คู่ บังแทรก ๔ มหาดเล็กเชิญพระแสงหว่างเครื่อง พระแสงง้าว ๑ พระแสงตรี ๑ พระแสงหอกง่าม ๑ มหาดเล็กวังน่าเดินสายใน ๖๐ คน ตำรวจเดินสายนอก ๔๐ คน ม้าจูง ๔ (หัวพัน) มหาดไทย กลาโหม เป็นผู้ตรวจ รวมกระบวนแห่ ๒๖๘ คน
แห่เสด็จไปจากพระบรมมหาราชวัง จนถึงพระราชวังบวรฯ ประทับเกยพลับพลาเปลื่องเครื่องที่มุขท้ายพระที่นั่งสุทธาสวรรย์ เปลื้องเครื่องผลัดทรงพระภูษาลายพื้นทองทรงสพัก ฉลองพระองค์ครุยกรองทอง เสด็จเข้าในพระที่นั่งสุทธาสวรรย์ ทรงนมัสการพระศรีรัตนไตรย สมเด็จพระสังฆราชจุดเทียนชัย แลถวายศีลแล้วทรงพระมหามงคลประทับสดับพระปริตจนจบแล้ว จึงแห่เสด็จกลับคืนมายังพระบรมมหาราชวัง
รุ่งขึ้น ณ วันพุฒ เดือน ๑๐ แรม ๔ ค่ำ เวลาเช้า สมเด็จพระอนุชาธิราช เจ้าฟ้ากรมหลวงเสนานุรักษ์ เสด็จทรงพระเสลี่ยง มีแต่ตำรวจนำไม่มีกระบวนแห่ เสด็จขึ้นไปทรงประเคนเลี้ยงพระสงฆ์ ที่พระที่นั่งสุทธาสวรรย์ เวลาบ่ายวันนั้น แลวันรุ่งขึ้น แห่เสด็จขึ้นไปทรงสดับพระปริตรเหมือนวันแรก เวลาเช้า ในวันคำรบ ๒ ก็เสด็จขึ้นไปทรงประเคนเลี้ยงพระเหมือนวันแรก
ครั้น ณ วันศุกร เดือน ๑๐ แรม ๖ ค่ำ เวลาเช้า เสด็จโดยกระบวนแห่ขึ้นไปยังพระราชวังบวรฯ เสด็จเที่ยวสรงสนานเวลาเขาโมงกับบาทหนึ่ง สมเด็จพระสังฆราช สมเด็จพระพนรัตน พระธรรมราชา พระญาณสังวร ถวายน้ำพระพุทธมนต์ด้วยพระเต้าปทุมนิมิต พราหมณ์ถวายน้ำกรดน้ำสังข์แลใบมะตูม แล้วทรงเครื่องเสด็จมาทรงประเคนเลี้ยงพระสงฆ์ ครั้นเลี้ยงพระแล้ว เสด็จยังพลับพลา ทรงเครื่องพระภูษาลาเขียนลายจีบใจทางหางหงส์ ทรงฉลองพระองค์กรองทอง ทรงพระมาลาส้าสูงสีแสด ขึ้นทรงพระราชยานแห่ลงมาพระบรมมหาราชวัง เข้าเฝ้าสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ณ พระที่นั่งจักรพรรดิพิมาน รับพระราชทานพระสุพรรณบัฏ และทูลเกล้าฯ ถวายเทียนทองธูปเงินเข้าคอกดอกไม้ (แล้วแห่เสด็จกลับขึ้นไปยังพระราชวังบวรฯ) ครั้นเวลาบ่าย เจ้าพนักงานตั้งบายศรีเวียนเทียนสมโภชพระราชมณเฑียรในพระราชวังบวรฯ เป็นเสร็จการพระราชพิธีอุปราชาภิเศกตามโบราณประเพณี
กรมพระราชวังบวรสถานมงคลในรัชกาลที่ ๒ ซึ่งปรากฏพระรามในภายหลังว่ากรมพระราชวังบวรมหาเสนานุกรักษ์นี้ ประสูติ ณ กรุงธนบุรี เมื่อ ณ วันจันทร์ เดือน ๕ ขึ้น ๗ ค่ำ ปีมะเส็งเบศจศก จุลศักราช ๑๑๓๕ พ.ศ.๒๓๑๖ เป็นพระราชโอรสพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก สมเด็จพระอมรินทราบรมราชินี เป็นสมเด็จพระชนนีเมื่อในรัชกาลที่ ๑ เป็น สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้ากรมขุนเสนานุรักษ์ แล้วได้เลื่อนพระเกียรติยศขึ้นเป็นกรมหลวง แลเป็นพระบัณฑูรน้อย เมื่อปีเถาะนพศก พ.ศ.๒๓๕๐ ก่อนพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกสวรรคต ๒ ปี เมื่อกรมพระราชวังบวรมหาเสนานุรักษ์ได้อุปราชาภิเษกนั้น พระชันษาได้ ๓๖ พรรษา